วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

๋JACK RIPPER

แจ็กเดอะริปเปอร์


ปกวารสารพุกฉบับวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1889 แสดงการ์ตูนเป็นภาพของแจ็กเดอะริปเปอร์ ที่ไม่ทราบว่าเป็นใครยืนดูประกาศจับ
แจ็กเดอะริปเปอร์ (อังกฤษJack the Ripper) เป็นสมญาของฆาตกรต่อเนื่องที่ออกทำฆาตกรรมในย่าน "ไวต์ชาเปล" ซึ่งเป็นถิ่นยากจนใกล้นครลอนดอนในช่วงครึ่งปีหลังของ ค.ศ. 1888 ชื่อสมญาได้มาจากข่าวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ที่ลงข่าวจดหมายลึกลับที่เขียนถึงสำนักข่าวกลางโดยผู้เขียนที่อ้างตนว่าเป็นฆาตกร ถึงแม้จะมีการสืบสวนและมีทฤษฎีที่น่าเชื่อถือมากมาย แต่ก็ไม่สามารถบ่งบอกโฉมหน้าที่แท้จริงของฆาตกรได้เลย
ตำนานเล่าขานเกี่ยวกับฆาตกรแจ็กเดอะริปเปอร์ได้กลายเป็นขนมผสมน้ำยา ระหว่างการค้นคว้าวิจัยอย่างจริงจังทางประวัติศาสตร์ ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดและนิทานพื้นบ้าน การขาดหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดทำให้เกิดมีคำว่า "นักริปเปอร์วิทยา" มาใช้เรียกนักประวัติศาสตร์และนักสืบสมัครเล่นที่ศึกษาคดีอันโด่งดังนี้เพื่อกล่าวหาหรือพาดพิงถึงบุคคลต่าง ๆ ว่าคือตัวริปเปอร์ หนังสือพิมพ์ซึ่งมียอดขายเพิ่มสูงมากในช่วงนี้โทษว่าเป็นเพราะความล้มเหลวของตำรวจที่ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ ทำให้ฆาตกรฮึกเหิมได้ใจและท้าทาย เหตุการณ์จึงเกิดต่อเนื่องเรื่อยมา ในบางครั้งตำรวจมาถึงที่เหตุเกิดเพียง 2-3 นาที แต่กลับไม่ได้ตัวคนร้าย
เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิงที่ออกหาเงินเป็นครั้งคราวด้วยการเป็นโสเภณี ฆาตกรรมส่วนใหญ่เกิดในที่สาธารณะหรือกึ่งสาธารณะ เหยื่อทุกรายถูกเชือดคอ หลังจากนั้นซากศพจะถูกหั่นตรงช่วงท้องและบางครั้งที่อวัยวะเพศ คาดกันว่าเหยื่อจะถูกรัดคอให้เงียบเสียงก่อนลงมือฆ่า มีหลายกรณีที่มีการตัดอวัยวะภายในออก จึงมีผู้อนุมานว่าฆาตกรอาจเป็นศัลยแพทย์หรือไม่ก็คนขายเนื้อ ซึ่งยังหาข้อสรุปไม่ได้
เหยื่่อ

หญิงถูกฆาตกรรมหลายรายยังที่เป็นที่ถกเถียงกันทั้งชื่อและจำนวน แต่รายที่ชี้ได้ชัดว่ากระทำโดยแจ็กเดอะริปเปอร์มีไม่มากเหยื่อ[แก้]

เหยื่อทั้งห้าซึ่งเป็นที่ยอมรับ[แก้]

เหยื่อซึ่งเป็นที่ยอมรับทางกฎหมายว่า เป็นฝีมือของแจ็กเดอะริปเปอร์แน่นอน มี 5 ราย เรียก "เหยื่อทั้งห้าซึ่งเป็นที่ยอมรับ" (Canonical five) ปรากฏจากผลสรุปการสอบสวนของหลายฝ่าย เพราะศพทั้งห้าถูกกระทำเกือบเหมือนกัน เหตุที่ทำให้เป็นที่เชื่อถือได้ในขณะนั้น มาจากความเห็นของหัวหน้าตำรวจชุดสอบสวนกลางคือ เซอร์เมลวิลล์ แมกนอเทน ที่ให้ไว้เมื่อ ค.ศ. 1894 ซึ่งเพิ่งเปิดเผยเมื่อ ค.ศ. 1959 ความจริงแมกนอเทนเข้าร่วมการสอบสวนหลังเกิดเหตุแล้ว 1 ปี โดยไม่มีนักสืบอื่นร่วม ทำให้ "นักริปเปอร์วิทยา" ต้องแยกเอาศพ 2 รายออกจากรายการเดิมที่มี 7 รายเหลือเพียง 5 ราย
การฆ่าเหยื่อบัญญัติทั้ง 5 ทำตอนกลางคืนในที่มืดในวันหยุดหรือใกล้วันสุดสัปดาห์ มีลักษณะช่วงเวลาใกล้เคียงแต่ไม่ตรงกัน เกิดในที่ที่เปลี่ยวแต่สาธารณชนเข้าถึงได้ด้วยการนัดหมาย หรือเป็นที่ที่มีคนไปในช่วงสุดสัปดาห์ มีเพียงรายเดียวที่เกิดในเขตลอนดอนและเกิดบนถนน นอกจากนี้ ลักษณะการกระทำของฆาตกรเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามความโด่งดังของการประโคมข่าว
ความยากในการบ่งชี้ว่าลักษณะอย่างใดที่เป็นฝีมือของแจ็กเดอะริปเปอร์อยู่ตรงช่วงเวลาที่มีการฆาตกรรมสตรีซึ่งมากอยู่แล้วในยุคนั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ถ้าเป็นแจ็กเดอะริปเปอร์ คอเหยื่อจะถูกเชือดลึกมาก จะต้องมีการหั่นหรือสับช่วงท้องและอวัยวะเพศ มีการเชือดเอาอวัยวะภายในออกและมีการเฉือนใบหน้าด้วยมีดเป็นริ้ว ๆ

เหยื่อที่อาจใช่ฝีมือของแจ็กเดอะริปเปอร์[แก้]

ยังมีบัญชีแนบท้ายรายชื่อ "5 เหยื่อบัญญัติ" ที่อาจเป็นฝีมือของแจ็กเดอะริปเปอร์อีก 13 รายโดยถือเอาความคล้ายคลึงในการเข้าจู่โจมทำร้ายหรือฆ่า แต่เหยื่อเหล่านี้มีหลักฐานการกระทำไม่ครบถ้วนและละเอียดชัดเจน ส่วนแจ็กเดอะริปเปอร์ตัวจริงก็ คือ นายโรเบิร์ด มานน์

การสืบสวน[แก้]

กรณีแจ็กเดอะริปเปอร์ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าในเทคนิคการสอบสวนและนิติเวชศาสตร์มากที่สุดหลังเหตุการณ์
วิธีการด้านนิติเวชสมัยใหม่ที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันยังไม่เป็นที่รู้จักของตำรวจนครบาลในสมัยวิกตอเรีย แนวคิดเกี่ยวกับแรงกระตุ้นหรือแรงดลใจให้ลงมือกระทำการฆ่าของฆาตกรต่อเนื่องยังไม่เป็นที่เข้าใจกันแต่อย่างใด ตำรวจในสมัยนั้นเข้าใจเพียงเพียงแรงจูงใจอาชญากรรมที่มีต้นจากความต้องการทางเพศเท่านั้น

สื่อ[แก้]

ในโลกนี้มีฆาตกรปริศนาที่ฆ่าคนโหดกว่าแจ๊คมากมายหลายรายนัก แต่ทำไมแจ๊คถึงดัง และคนอื่นถึงรู้จักแต่แจ๊ค ทั้ง ๆ ที่แจ๊คไม่ใช้ฆาตกรต่อเนื่องคนแรกของโลก และไม่ใช้ฆาตกรปริศนาคนแรกของโลกอีก นั้นเป็นเพราะสื่อและสิ่งที่ทำให้สื่อสนใจนั่นก็คือช่วงที่แจ๊คอาละวาดเริ่มจาก 31 สิงหาคม 1888 ช่วงนั้นสก็อตแลนด์สามารถคลี่คลายคดีหมอคลิปเปนฆ่าหั่นศพเมีย องค์กรนี้จึงมีชื่อเสียงทันที พวกเขามักออกมาให้ข่าวทำนองว่าพวกตนมีทีมงานที่มีคุณภาพ มีเทคโนโลยี เวลาสืบสวนแต่ละทีต้องละเอียดยิบ ต่อให้ฆาตกรจะฆ่าใครโดยไม่ทิ้งหลักฐาน ก็ลากฆาตกรลงโทษจงได้ ดังนั้นพอเกิดคดีแจ๊คขึ้นขึ้นมา สื่อที่หมั่นไส้องค์กรตำรวจสก็อตแลนด์ยาร์ดอยู่แล้วเริ่มยิ้มถึงความล้มเหลว ขององค์กรนี้ และก็เริ่มเดือด เมื่อตำรวจอังกฤษไร้น้ำยาปล่อยฆาตกรฆ่าคนไปหลายราย สื่อเริ่มประโคมข่าว และเริ่มกระจายข่าวไปทั่วโลก และชื่อของแจ๊คเริ่มโด่งดังต่อมาเมื่อมีจดหมายส่งมาถึงผู้สื่อข่าว
แต่ต้องยอมรับว่าฆาตกรรมแจ็กเดอะริปเปอร์มีผลต่อชีวิตแบบใหม่ของชาวอังกฤษ แม้ฆาตกรรมต่อเนื่องแจ็กเดอะริปเปอร์จะไม่ใช่กรณีแรก แต่ก็ได้ทำให้สื่อทั่วโลกแตกตื่นแพร่กระจายข่าวนี้อย่างครึกโครม การมียอดจำหน่ายสูงขึ้นมาก ประกอบกับการออกกฎหมายใหม่ลดค่าอากรแสตมป์ทำให้ราคาหนังสือพิมพ์ต่อฉบับลดลงมากจากการพิมพ์จำนวนมหาศาล ทำให้เกือบทุกคนซื้ออ่านได้ เรื่องราวลึกลับน่ากลัวที่ยังจับใครไม่ได้จึงเป็นข่าวที่เพิ่มยอดขายได้สูง หลายคนถึงกับกล่าวว่าชื่อ "แจ็กเดอะริปเปอร์" เป็นชื่อที่หนังสือพิมพ์เป็นผู้ตั้งขึ้นเอง
การแพร่หลายของข่าวที่ประโคมแบบใหม่ทำให้เกิดกรณีฆาตกรรมต่อเนื่องที่คล้ายคลึงกันที่เกิดขึ้นในระยะหลังมีรูปแบบทำนองเดียวกันเช่น "ฆาตกรรัดคอบอสตัน" (the Boston Strangler) "ขุนขวานนิวออร์ลีน" (Axeman of New Orleans) นักซุ่มยิงเบลท์เวย์" (Beltway Sniper) รวมทั้งฆาตกรรัดคอเชิงเขา" (Hillside Strangler) เป็นต้น
ต้นเหตุสำคัญที่อาจเป็นไปได้ในกรณี "แจ็กเดอะริปเปอร์" ที่ได้กล่าวถึง คือการปล่อยละเลยไม่เหลียวแลย่านคนยากจนมากในสมัยนั้นจากชนชั้นสูงผู้ดูแลบ้านเมือง ดังย่านที่เป็นที่เกิดเหตุจึงมีผู้เรียกร้องความสนใจให้บ้านเมืองเข้ามาช่วยเหลือปรับปรุงให้มีสภาพดีขึ้นบ้าง จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ เป็นผู้หนึ่งที่เขียนจดหมายเชิงประชดถึงกรณีดังกล่าวผ่านหนังสือพิมพ์

ผู้ต้องสงสัย[แก้]

เจ้านักปาดคอมนุษย์คนนี้ได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้สองสามอย่างด้วยกัน เพราะในแต่ละครั้งที่มันได้ฆ่าใครตายไปนั้นมันมักจะพาตัวหายลับเข้าไปอยู่ในบริเวณ ไวซ์ชาเปลซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของคนจน ถ้าหากว่าคนร้ายรายนี้เป็นคนจน ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาจึงได้มีความรู้วิชาการแพทย์ และได้ใช้ความรู้นั้นมาฆ่าคนอย่างโหดร้าย ทฤษฏฎีที่มีทางจะเป็นไปได้มากที่สุดเกี่ยวกับตัวการคือ ข้อสันนิษฐานของดาเนียล ฟาร์สัน นักเขียนแลกนักข่าวของวิทยุกระจายเสียงและต่อมาเขาได้กลายเป็นหัวหน้าของกองสอบสวนกลางเมื่อปี1903 ฟาร์สันได้เพ่งเล็งผู้ต้องสงสัยไว้สามคนด้วยกัน คนแรก แพทย์ชั้นเซียนชื่อไมเคิล ออสตร๊อก คนที่สอง ผู้นิสัยในการชอบฆ่าคนชาวโปลิชเลือดยิว ชื่อว่า กอสมันสกี้ ซึ่งมีนิสัยเกลียดผู้หญิงอย่างรุนแรง และอีกคนหนึ่งก็คือทนายความผู้มีนิสัยเลวทรามชื่อมา มองตาคู ยอห์น ดรุตต์ หรือบ้างก็ว่า มีเจ้าชายของราชวังได้ไปเที่ยวโสเภณีแต่ในภายหลังพระองค์ถูกแบล๊คเมล์โดยโสเภณีหญิงผู้นั้น พระองค์จึงส่งคนในวังไปลอบฆ่านาง ซึ่งนั่นคือคดีแรก แต่คดีต่อ ๆ ไปเป็นแค่พฤติกรรมเลียนแบบ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ความจริงในเรื่องคดีดีที่สุด นั่นก็คือคนที่เป็นแจ๊กเดอะริปเปอร์จริง ๆ เท่านั้น ซึ่งเราก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาคือใคร แต่ว่าจะเป็นใครก็ตามความลับอันน่าหวาดหวั่นของเขาก็ต้องถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินพร้อมกับร่างของเขาไปแล้ว ซึ่งไม่มีทางที่ใครจะรู้ได้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอีกเลย [1]

ลำดับเหตุการณ์[แก้]

  • 31 สิงหาคม ค.ศ. 1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายแรก
  • 8 กันยายน ค.ศ. 1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สอง
  • 25 กันยายน ค.ศ. 1888 จดหมายส่งถึงสำนักงานเซ็นทรัล ลงนาม “แจ๊ก เดอะ ริปเปอร์”
  • 30 กันยายน ค.ศ. 1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สามกับสี่ในเวลาไล่เลี่ยกัน
  • 1 ตุลาคม ค.ศ. 1888 ไปรษณีย์บัตร์ “แจ๊คจอมซ่าส์”ถึงสำนักข่าวเดิม
  • 16 ตุลาคม ค.ศ. 1888 พัสดุลงชื่อ “จากนรก” ส่งไตครึ่งซีก ไปให้จอร์ชประธานคระกรรมการป้องกันภัยไวต์แซพเพล
  • 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1888 เหยื่อรายที่ห้าคาดว่าเป็นรายสุดท้าย
  • 31 ธันวาคม ค.ศ. 1888 พบศพมองตากู จอห์น ดรูอิทท์ หนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแจ๊คจมน้ำตาย สันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
  • ค.ศ. 1890 อารอน โคสมินสกี้ ผู้ส่งเข้าโรงพยาบาลโรคจิตและเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1919
  • ค.ศ. 1892 ปิดคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ โดยหาผู้กระทำความผิดไม่เจอ
  • ค.ศ. 1894 เซอร์เมลวิลล์ แมคนักห์เต็นเขียนบันทึกร่ายยาวแบบลับ ๆ ว่า เขาสงสัยมองตากู จอห์น ดรูอิทท์
  • ค.ศ. 1901 มีการสันนิษฐานว่าจดหมายและพัสดุที่ส่งมาเป็นของปลอมทำขึ้นโดยฝีมือของนักข่าว
  • ค.ศ. 2006 สก็อตแลนด์ยาร์ดเปิดเผยโฉมหน้า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่

สก็อตแลนด์ยาร์ดเปิดเผยโฉมหน้าแจ็กเดอะริปเปอร์[แก้]

แม้คดีของแจ๊คจะจบลงมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1892 นานแล้ว แต่ใช่ว่าหลาย ๆ คนจะหยุดการสอบสวน เพราะยังมีผู้สนใจซึ่งเรียกตนเองว่า “นักริปเปอร์วิทยา” และผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมรวมไปถึง สก็อตแลนด์ยาร์ดที่ล้มเหลวยังคงสืบสวนคดีไม่รู้จักหยุดหย่อน แต่จากการสืบสวนของโดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ สอวนสัน สารวัตรใหญ่ประจำหน่วยสืบสวนคดีอาชญากรรม สก็อตแลนด์ยาร์ด พบว่านายวิลเลียม สมิธ ตำรวจสายตรวจเมื่อ 120 ปีก่อน เป็นพยานคนหนึ่งที่ยังคงมีชีวิตอยู่หลังพบเห็นใบหน้าที่แท้จริงของแจ๊ค
ในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1888 สมิธเห็นชายหญิงคู่หนึ่งอยู่ด้วยกันหลังเที่ยงคืนเล็กน้อย และอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมาผู้หญิงคนที่พบก็กลายเป็นศพที่ 3 ของแจ๊ค โดยชายที่สมิธเห็นนั้น สูงราว ๆ 5 ฟุต 7 นิ้ว ไว้หนวดเรียวเล็ก ผิวคล้ำ ซึ่งสอดคล้องกับคอมพิวเตอร์ประมวลผลในปัจจุบันที่วิเคราะห์โดยทางเจ้าหน้าที่ของสก็อตแลนด์ยาร์ด ส่วนเรื่องอื่น ๆ เกี่ยวกับตัวแจ๊ค ก็มีคนออกมาเสนอความเห็นอีกเช่นกัน โดยนายคิม รอสโม ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิประเทศบอกว่าเขาใช้เทคนิคอย่างหนึ่ง นำสถานที่เกิดเหตุแต่ละครั้งบวกกับรายงานที่มีพยานพบเห็นมาประเมินว่า ฆาตกรน่าจะอยู่ที่ไหน ผลออกมาคือ ฆาตกรรายนี้น่าจะพักอาศัยในอาณาเขตไม่เกิน 1 ตารางไมล์จากสถานที่เกิดเหตุ และยังวิเคราะห์ลึงลงไปอีกว่า น่าจะอาศัยอยู่ที่แถบถนนฟลาวเวอร์ หรือถนนดีน ซึ่งห่างจุดเกิดเหตุแต่ละครั้งราว ๆ ไม่เกิน 100 หลา และยังเป็นพื้นที่ที่ตำรวจเมื่อ 120 ปีก่อน เคยสำรวจ รวมถึงสอบถามเรื่องราวเพื่อตามล่าผู้ต้องสงสัยจากผู้คนในละแวกนี้มาแล้ว แม้จะไม่พบข้อมูลที่สามารถชี้ชัดใด ๆ ได้ก็ตาม
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม สก็อตแลนด์ยาร์ดได้เปิดเผยหลักฐานชิ้นสำคัญ นั้นคือบันทึกส่วนตัวของโดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ สวอนสัน สารวัตรใหญ่ประจำหน่วยสืบสวนคดีอาชญากรรม สก็อตแลนด์ยาร์ด ผู้รับผิดชอบคดีนี้นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ ซึ่งทายาทของสวอนสันตัดสินใจมอบบันทึกนี้ให้พิพิธภัณฑ์อาชญากรรมของสก็อตแลนด์ยาร์ด โดยบันทึกนี้เขียนด้วยมือของสวอนสันเองหลักจากเกษียณอายุราชการแล้ว ที่ยังคงกังวลใจเกี่ยวกับคดี แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์​ และเขียนบันทึกนี้ไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้อ่านเกี่ยวกับข้อมูลคดี ที่น่าสนใจคือ สวอรสันได้ระบุชื่อของบุคคลที่เขาคาดว่าจะเป็น “แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์” ไว้ในบันทึกเล่มดังกล่าวด้วย
บันทึกนี้ระบุว่าฆาตกรคนนั้นชื่อ อารอน โคสมินสกี้ เป็นช่างตัดผมชาวยิวที่อาศัยในเขตไวต์แซฟเพลย่านที่เกิดเหตุนั้นเอง สำหรับนาย อารอน โคสมินสกี้ นี้มีการชี้ตัวอย่างลับ ๆ ของพยานคนหนึ่งที่อ้างว่าเห็นตัวฆาตกร แต่พยานคนนี้ไม่ยอมร่วมมือกับราชการเท่าไหร่เพราะไม่อยากชื่อว่าเป็นคนทรยศ เพื่อนร่วมเชื้อชาติเดียวกันอย่างไรก็ตาม ในการร่วมมือแบบไม่เปิดเผยนั้น ตำรวจพาพยานไปชี้ตัว โดยนายโคสมินสกี้ไปรวมกับคนอื่น ๆ ซึ่งพยานสามารถชี้ตัวได้ถูกต้อง หลักจากนั้นตำรวจก็จับตามองโคสมินสกี้ตลอด แต่ตอนนั้นนายนั้นดันเกิดอาการโรคจิตกำเริบ จนถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลรักษาอาการ งานนี้หลานของสวอนสัน คือเนวิลล์ สวอนสัน บอกว่าคุณปู่มั่นใจเลยว่านายโคสมินสกี้เป็นฆาตกรแน่นอน แต่มีเหตุผลบางอย่างที่ไม่สามารถจับกุมเขาได้
ความเห็นของสวอนสันนั้นก็สอดคล้องกับเจ้านายเขาเหมือนกัน คือเซอร์โรเบิร์ต แอนเดอร์สัน เขาก็เขียนบันทึกเหมือนกันว่า สงสัยนายโคสมินสกี้เหมือนกัน อันที่จริงชื่อของโคสมินสกี้ไม่ใช้เพิ่งจะโผล่ออกมา แต่เป็นชื่อต้น ๆ ที่เคยถูกอ้างมาก่อนโดยเจ้าหน้าที่เซอร์เมลวิลล์ แม็กนักห์ แต่เขาเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับสองเพราะเขาสนใจนายมองตากู จอห์น ดรูอิทท์ ว่าน่าจะเป็นแจ๊คมากกว่าแต่โคสมินสกี้จะเป็นแจ๊ค หรือไม่นั้นไม่มีใครตอบได้ เพราะตอนนี้เจ้าตัวลาโลกไปนานแล้วจะเชิญมาสอบปากคำคงต้องขึ้นคนทรงเจ้าแหละ แถมแม้มีการเปิดเผยเรื่องมากขึ้น แต่ปริศนาก็คือปริศนา เพราะมีคนบางคนนำเสนอว่าบางที่แจ๊คนั้นไม่ได้มีคนเดียว แต่มันมีสองคนขึ้นไปดำเนินการต่างหาก
นายเทรเวอร์ แมริออต อดีตนายตำรวจอังกฤษทุ่มเทเวลากว่า 10 ปี ในการศึกษาสำนวนคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ และประกาศว่า “ไม่มีทางเลยที่ฆาตกรผู้นี้จะทำงานได้โดยลำพังเพียงคนเดียว”เขาว่าจำนวนเหยื่อของแจ๊คนั้นไม่ทราบแน่ชัดว่ามีกี่รายกันแน่ บางคนบอกว่ามีกว่า 10 ราย แต่เท่าที่นักริปเปอร์วิทยาทั้งหลายลงความเห็นว่าแท้จริงมีเหยื่อแค่ 5 รายเท่านั้นโดยนับจากรายแรกตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1888
แต่สิ่งที่แมริออตสะดุดใจมากคือ เหยื่อรายที่ 3 และ 4 เพราะเกิดเหตุในคืนเดียวแต่สถานที่กันซึ่งมีระยะห่างกันเพียง 12 นาที ทำให้มีการคาดว่าน่าจะมีการแยกกันลงมือเพราะในเวลาที่น้อยขนาดนี้ ไม่น่าจะมีใครว่องไวพอขนาดทำงานได้ 2 ศพ ในเวลาไล่เลี่ยงขนาดนี้ บางทีโคสมินสกี้อาจร่วมมือกับใครคนหนึ่งหรืออาจเป็นองค์กร สมาคม หรือใครสักคนที่มีอิทธิยิ่งใหญ่ในอังกฤษ เขาอาจได้ค่าจ้างร่วมมือกันฆ่าโสเภณีทั้ง 5 โดยมีวัตถุประสงค์บางอย่างซึ่งเราก็ไม่ทราบได้
จนกระทั่งเวลาผ่านไป 120 ปี ปลายปี ค.ศ. 2006 สก็อตแลนด์ยาร์ดก็เปิดเผยโฉมหน้าของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ในที่สุด

แจ็กเดอะริปเปอร์ในวัฒนธรรมสมัยใหม่[แก้]

มีการนำกรณีหรือชื่อของ "แจ็กเดอะริปเปอร์" มาสร้างเป็นนวนิยายหลายเรื่อง ตั้งเป็นชื่อวงดนตรีบ้าง ชื่อเพลงบ้างทั้งโดยตรงและใช้ชื่อสถานที่ที่มีการอ้างอิงแพร่หลายในข่าวที่เป็นที่รู้จักบ้าง เช่น พิงค์ดอท บอบ ไดลาน จูดาส พรีสท์และสกรีมมิง ลอร์ด ซัทช์ ต่างร้องและอัดเพลงจำหน่ายในชื่อ แจ็กเดอะริปเปอร์
มีหลายบริษัทที่เอาแจ็กเดอะริปเปอร์มาทำตุ๊กตาและของเล่นขาย จนบางครั้งได้รับการประท้วงจากสังคม ในปี พ.ศ. 2549 วารสารประวัติศาสตร์ บีบีซี. ลงคะแนนเสียงโดยผู้อ่านให้กรณี "แจ็กเดอะริปเปอร์" เป็นประวัติศาสตร์ที่เลวร้ายที่สุดของอังกฤษ
ถึงปัจจุบันมีหนังสือที่ไม่ใช่นวนิยายเกี่ยวกับแจ็กเดอะริปเปอร์มากถึง 150 เล่มทำให้แจ็กเดอะริปเปอร์เป็นคดีฆาดกรรมจริงที่มีผู้นำไปเขียนมากที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่แล้ว แม้ขณะนี้ก็ยังมีวารสารเกี่ยวกับแจ็กเดอะริปเปอร์ตีพิมพ์จำหน่ายพร้อมกัน 6 ฉบับในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

วงดนตรีสากล

ประเภทของวงดนตรีสากล
ประเภทของวงดนตรีสากล แบ่งได้เป็น ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
1.วงแชมเบอร์มิวสิค (Chamber  Music)
 หมายถึง วงดนตรีประเภทบรรเลงด้วย เครื่องดนตรีที่เหมาะสำหรับ แสดงภายใน ห้องโถง  หรือสถานที่ที่จุผู้ฟังได้เพียงจำนวนน้อยในสมัยแรกเล่นกันในห้องโถงตามราชสำนัก หรือ คฤหาสถ์ของ ขุนนางในยุโรป  และนักดนตรีเล่นกันเองในหมู่เพื่อนฝูง  ต่อมาคนเริ่มสนใจมากขึ้นสถานที่คับแคบ  จึงเลื่อนไปเล่นในห้องโถงใหญ่และใน Concert  Hall ซึ่งจัดไว้เพื่อการแสดงดนตรีโดยเฉพาะ แชมเบอร์มิวสิค เน้นความสำคัญของนักดนตรีทุกคนเท่าๆ กัน โดยปกติจะมี
นักดนตรี 
2-9 คนและเรียกชื่อต่างๆกันตามจำนวนของผู้บรรเลง ดังนี้
จำนวนผู้บรรเลง      2    คน       เรียกว่า    ดูโอ  (Duo)
จำนวนผู้บรรเลง      3    คน       เรียกว่า    ตริโอ  (Trio)
จำนวนผู้บรรเลง      4    คน       เรียกว่า    ควอเตท (Quartet)
จำนวนผู้บรรเลง      5    คน       เรียกว่า    ควินเตท (Quintet)
จำนวนผู้บรรเลง      6    คน       เรียกว่า    เซกซ์เตท (Sextet)
จำนวนผู้บรรเลง      7    คน       เรียกว่า    เซปเตท (Septet)
จำนวนผู้บรรเลง      8    คน       เรียกว่า    ออกเตท (Octet)
จำนวนผู้บรรเลง      9    คน       เรียกว่า    โนเนท (Nonet)
  การเรียกชื่อจะต้องบอกชนิดของเครื่องและจำนวนของผู้เล่นเสมอ เช่น


สตริงควอเตท (String Quartet)  มี   ไวโอลิน 2 คัน วิโอลา 1 คัน แล ะเชลโล 1 คัน
 สตริงควินเตท (String Quintet)  ี ไวโอลิน 2 คัน วิโอลา1คัน เชลโล 1 คันและดับเบิลเบส 1คัน
 วูดวินควินเตท(Wood -Wind Quintet)ประกอบด้วย เครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมไม้ 5คน
ได้แก่ฟลุ๊ต ปี่โอโบ คลาริเน็ต บาสซูน และเ ฟรนซ์ฮอร์น       
แชมเบอร์มิวสิคยังไม่จำกัดประเภทของเครื่องดนตรี แต่ตระกูลไวโอลินจะเหมาะที่สุด เพราะเสียงของเครื่องดนตรีตระกูลนี้กลมกลืนกัน
แชมเบอร์มิวสิคยังไม่จำกัดประเภทของเครื่องดนตรี แต่ตระกูลไวโอลินจะเหมาะที่สุด เพราะเสียงของเครื่องดนตรีตระกูลนี้กลมกลืนกัน
ในดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำไรน์และได้รับการปรับปรุงอีกครั้งในสมัยของไฮเดินและก็เจริญมาเป็นลำดับ
(*สำหรับปัจจุบันแล้ววงแชมเบอร์มิวสิคยังคงได้รับความที่นิยมนำไปใช้บรรเลงในงานฉลองมงคลสมรสอีกด้วย*)
ถ้าการบรรเลงของแชมเบอร์มิวสิคเกิน คน แต่ไม่ถึง 20 คน  เรียก อังซังเบลอ (ensemble)  เช่น วินด์อังซังเบลอกับดับเบิ้ล
เบส ของ  โมสาร์ท เป็น Serenade  สำหรับเครื่องลม Bแฟลต   














2.วงซิมโฟนี  ออร์เคสตร้า ( Symphony  Orchestra) วงประเภทนี้มีขนาดใหญ่ ประกอบด้วย
เครื่องดนตรีครบทุกกลุ่ม  ขนาดของวงมีขนาดเล็ก 40-60 คนขนาดกลาง 60-80 คนและวงใหญ่  80-110 คน
หรือมากกว่านั้น ขนาดของวงจะใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับเครื่องสายเป็นหลัก และ ผู้เล่นต้องมีฝีมือดี
รวมถึงวาทยากร(conductor)ก็ต้องมีความสามารถอย่างยอดเยี่ยม
ถ้าใช้เฉพาะเครื่องสายของวง Symphony  Orchestra ก็เรียกว่า String Orchestra



3.วงป๊อปปูลามิวสิค (Popular  Music) หรือวงดนตรีลีลาศ ใช้บรรเลงตามงานรื่นเริงทั่วไป ประกอบด้วย
เครื่องดนตรีี กลุ่มแซกโซโฟน กลุ่มเครื่องทองเหลือง และ กลุ่มเครื่องประกอบจังหวงปอปปูลามิวสิค ส่วนใหญ่มี  3ขนาด
1.วงขนาดเล็ก(วง 4x4)  มีเครื่องดนตรี  12 ชิ้น ดังนี้
กลุ่มแซ็ก  ประกอบด้วย  อัลโตแซ็ก 1  คัน เทเนอร์แซ็ก 2  คันบาริโทน แซ็ก 1 คัน
กลุ่มทองเหลือง ประกอบด้วย ทรัมเป็ต 3  คัน ทรอมโบน 1 คัน
กลุ่มจังหวะ ประกอบด้วย  เปียโน 1 หลัง กีตาร์คอร์ด 1 ตัว เบส 1  ตัว กลองชุด  1  ชุด
(วง 4 x 4 หมายถึง ชุดแซก 4 ชุด ทองเหลือง 4 ชุดตามลำดับ ส่วนเครื่องประกอบจังหวะ 4 ละไว้ในฐานที่เข้าใจ)
2.วงขนาดกลาง (5x5)มีเครื่องดนตรี 14 ชิ้น  คือ เพิ่มอัลโตแซ็ก และ ทรอมโบน
3.วงขนาดใหญ่  (5 x 7)  มี 16  ชิ้น  เพิ่ม  ทรัมเป็ตและทรอมโบนอย่างละตัว
ในปัจจุบันใช้กีตาร์เบสแทนดับเบิ้ลเบสและบางทีก็ใช้ออร์แกนแทนเปียโนคะ















4.วงคอมโบ (Combo  band) หรือสตริงคอมโบ เป็นวงที่เอาเครื่องดนตรีบางส่วนมาจาก  Popular  Music 
อีกทั้งลักษณะของเพลงและสไตล์การเล่นก็เหมือนกัน  จำนวนเครื่องดนตรีส่วนมากอยู่ระหว่างประมาณ  3 –10 ชิ้น เครื่องดนตรีจะมี 
พวกริทึม(Rhythm) และ พวกเครื่องเป่าทั้งลมไม้และเครื่องทองเหลือง  เครื่องดนตรีที่ใช้เป็นหลักคือ  กลองชุด  เบส  เปียโน
หรือมีเครื่องเป่าผสมด้วยจะเป็นเครื่องลมไม้หรือทองเหลืองก็ได้ไม่จำกัดจำนวน แต่รวมแล้วต้องไม่เหมือนกับปอปปูลามิวสิค
วงคอมโบก็เป็น สมอลล์ แบนด์  (small  Band)แบบหนึ่ง ดังนั้นวงนี้จึงเป็นวงที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก
จึงเหมาะสำหรับเล่นตามงานรื่นเริงทั่วๆ ไป นอกจากนั้นยังเหมาะสำหรับเพลงประเภทไลท์มิวสิคอีกด้วย
เพลงไทยสากลและเพลงสากลในปัจจุบันที่ใช้วงคอมโบเล่นตามห้องอาหารหรืองานสังสรรค์ต่างๆ ประกอบด้วยเครื่องดนตรี  ดังต่อไปนื้
1.แซ็กโซโฟน 2ทรัมเป็ต 3 ทรอมโบน 4 เปียโนหรือออร์แกน 5 กีตาร์คอร์ด 6 กีตาร์เบส



5. วงชาร์โด (Shadow) เป็นวงดนตรีขนาดเล็ก เริ่มก่อตั้งเมื่อประมาณ  20 ปีมานี่เองในอเมริกา
วงดนตรีประเภทนี้ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือคณะThe Beattle หรือสี่เต่าทอง
เครื่องดนตรีในสมัยแรก  มี 4 ชิ้น  คือ1. กีตาร์เมโลดี้ (หรือกีตาร์โซโล)  2. กีตาร์คอร์ด  3. กีตาร์เบส  4. กลองชุด
วงชาโดว์ ในระยะหลังได้นำออร์แกนและพวกเครื่องเป่า เช่น แซกโซโฟน  ทรัมเป็ตทรอมโบนเข้ามาผสม  และบางทีอาจมี ไวโอลินผสมด้วย
 เพลงของพวกนี้ส่วนใหญ่จะเร่าร้อน  ซึ่งได้รับความนิยมมากในหมู่วัยรุ่น  โดยเฉพาะเพลงประเภท  อันเดอร์กราว











 

แบบของแจ๊๊สที่ควรรู้จัก

 Blues Jazz เพลงบลูส์ เป็นเพลงเก่าแก่ของ แจ๊๊ส มาจากเพลงสวดอันโหยหวลของพวกนิโกร เพลงบลูส์มีอายุร่วม100 ปี 

เกิดขึ้นที่นิวออร์ลีนแถบปากแม่น้ำมิสซิสซิปปี แต่สมัยแรกๆไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ต่อมา พ.. 2467 ได้มีการอัดแผ่นเสียงจำหน่าย 
จึงแพร่หลายได้รวดเร็วขึ้น รวมทั้งดนตรีได้มีโอกาสไปแสดงตามที่ต่างๆ ในสมัยแรกๆ เพลงบลูส์ใช้กีตาร์เล่นนำ และคลอเสียงร้อง
เล่นกันตามข้างถนน  ตามย่านชุมชน คนผ่านไปมาก็ให้เงินบ้างไม่ให้บ้าง  เนื้อร้องร้องไปคิดไป ไม่มีการเตรียมไว้ล่วงหน้ามาก่อน 
ดังนั้นร้องกี่ครั้งก็ไม่เหมือนกัน  นึกจะจบก็จบเอาดื้อๆ คล้ายกับเพลงฉ่อยของประเทศไทย  เพลงบลูส์ได้รับอิทธิพลจากศาสนามาก
ดังนั้นเนื้อร้องก็มีเกี่ยวกับเรื่องศาสนาเข้ามาปนอยู่ด้วย  ต่อมาเพลงบลูส์ได้เจริญขึ้นก็นำไปเล่นกับวงแจ๊๊สก็กลายเป็นบลูส์์แจ๊๊ส
เพลงประเภทนี้ส่วนมากจังหวะช้าๆ ครั้งแรกที่ไม่ค่อยนิยมเพลงบลูส์เนื่องจากโน้ตค่อนข้างยาก
ต่อมาอาร์มาสตรองนำมาเล่นในปี พ.. 2472 จึงเป็นแรงหนึ่งที่ทำให้รับความนิยม
New orlean and dixieland style ทั้ง แบบเหมือนกันมากจนแทบจะแยกกันไม่ออก เริ่มขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19
และมาแพร่หลายในป. 2473 ต่อมาอาร์มาสตรองนำมาเล่นในปี พ.. 2472
ต่อมามีทรอมโบนและคลาริเ็น็ท เบนโจ กีตาร์ ทูบา กลอง เปียโน  แซ็กโซโฟน ปัจจุบันใช้เบสแทนทูบา 
นิยมให้ทรัมเป็ตเป็นตัวนำก่อนแล้วจึงเล่นพร้อมกันทั้งวงและเล่นกันเฉพาะทำนอง เพราะยังไม่มีใครรู้จัก
Adlibกันเท่าไหร่  กลองก็เล่นจังหวะธรรมดา  
Modern  Style  โฉมหน้าของแจ๊๊สได้เปลี่ยนไปมากเมื่อหลุยส์  อาร์มสตรองได้คิดวิธีเล่นใหม่ คือ มีทำนองหลักแล้วผลัดกันเล่นทีละคน 
แต่ละคน Adlib  กันอย่างสนุกสนานและเล่นค่อนข้างเร็วมาก  บางทีก็เล่นพร้อมๆ กัน ฟังดูเหมือนต่างคนต่างเล่น
แต่อยู่ในกรอบอันเดียวกัน   Bop Style  ผู้ที่คิดขึ้น  คือ The  lonious  Monk  กับ  Dizzy  gillespie
โดยเอาแบบของยุโรปมาผสมมีการเปลี่ยนแปลงทำนองและจังหวะ  ใช้คอร์ดเป็นหลัก  เล่นเร็วมาก ผลัดกันเล่นทีละชิ้น
                จังหวะของแจ๊๊สในยุคหลังก็ได้เกิดขึ้นใหม่ๆ
  Swing  แบบนี้กู๊ดแมน เป็นผู้ให้กำเนิดจังหวะนี้  เมื่อก่อนกู๊ดแมนเล่นคลาริเน็ทกับพวกผิวดำ  ต่อมาได้แยกออกมาเล่นกับพวกผิวขาวด้วยกัน
และเขาได้แต่งเพลงใหม่ขึ้น และได้ให้ชื่อเพลงใหม่นี้ว่า Swing    
Rock n’ Roll  ก็แตกแขนงจาก แจ๊๊ส เมื่อราว พ.. 2493  ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่วัยรุ่นและแพร่หลายอย่างรวดเร็วในอเมริกา
ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชาเพลงร๊อคก็คือ  เอลวิส  เพรสลี่ (เสียชีวิตเมื่อ ส.. 2520)         
เพลงแจ๊๊สที่เราคุ้นๆ หูก็คือเพลง  When  the  saints  to  marching  in  เพลงนี้เป็นเพลงที่เก่าแก่มาก  ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แต่ง 
เป็นเพลงแจ๊สที่มีชื่อเสียงมาก  ในการแสดงดนตรีแจ๊๊สทุกครั้งมักมีเพลงนี้เล่นด้วยเสมอ  ตอนแรกเป็นเพลงสวด ต่อมาเล่นแบบมาร์ชและในที่สุด
ก็เล่นแบบ New orleans
อาร์มสตรองเล่นเพลงนี้ได้ดีที่สุดเมื่อ  พ..  2481 เครื่องดนตรีแจ๊๊ส ที่นิยมเล่นกันมีดังนี้คือ
1คลาริเน็ท 2 แซ็กโซโฟน (โซปราโน,อัลโต,เทเนอร์)3คอร์เน็ต 4ทรัมเป็ต 5ทรอมโบน 6เบนโจ 7เปียโน 8 กีตาร์ 9 เบส 10กลองชุด
ปัจจุบันแจ๊๊สได้เล่นอย่างมีแบบแผน มีการเรียบเรียงเสียงประสานสำหรับวงดนตรี เครื่องดนตรีที่ใช้เล่นมีการกำหนดแน่นอน
 ซึ่งใช้แบบของวงดนตรีปอปปูลามิวสิค



7.วงโยธวาทิต  (Military  Band) ประกอบด้วยเครื่องเป่าครบทุกกลุ่ม  คือ  เครื่องลมไม้  
เครื่องทองเหลืองและกลุ่มเครื่องกระทบ  ได้แก่เครื่องดนตรีที่ให้จังหวะทั้งหลาย 
วงโยธวาทิตมีมาตั้งแต่สมัยโรมันใช้บรรเลงเพลงเดินแถวเพื่อปลุกใจทหาร
ในสมัยสงครามครูเสด  ได้ซบเซาไปพักหนึ่ง และเจริญอีกในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ต่อมาในสมัยของนโปเลียน 
ได้ปรับปรุงให้มีเครื่องดนตรีอีกหลายชนิด เช่น พวกขลุ่ยผิว พวกปี่และแตร และต่อมาก็เป็นต้นแบบของวงโยธวาทิต ในราวกลางศตวรรษที่19
เมื่ออดอลฟ์แซกซ์  นักประดิษฐ์ชาวเบลเยี่ยมได้ประดิษฐ์แซกโซโฟนและแตรต่างๆ ในตระกูลแซกฮอร์น  จึงได้นำมาไว้กับวงโยธวาทิตด้วย 
จึงสมบูรณ์ดังได้กล่าวมาแล้ว  ปัจจุบันวงโยธวาทิตมาตรฐานของอังกฤษใช้เครื่องดนตรี  56  ชิ้น





8.แตรวง  (Brass  Band) คือวงที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องทองเหลืองและเครื่องกระทบ
 แตรวงเหมาะสำหรับใช้บรรเลงกลางแจ้ง 
การแห่ต่างๆ เช่น ในประเทศไทยใช้แห่นาค  แห่เทียนพรรษา  เป็นต้นแตรวงมาตรฐานของอังกฤษใช้เครื่องดนตรี  26  ชิ้น













วงดนตรีไทย

วงดนตรีไทย
วงดนตรีไทย  ที่ใช้บรรเลงเป็นระเบียบแบบแผนมาแต่โบราณจนถึง ปัจจุบันมีหลายประเภทเช่น  วงบรรเลงพิณ  วงขับไม้  วงอังกะลุง  วงเครื่องกลองแขก   วงปี่พาทย์  วงเครื่องสาย  และวงมโหรี เป็นต้น  ซึ่ง  ในที่นี้จะกล่าวถึง วงดนตรีที่ใช้บรรเลงเป็นประจำในปัจจุบันคือ วงปี่พาทย์  วงเครื่องสาย  และวงมโหรี
วงปี่พาทย
วงปี่พาทย์ คำว่า "ปี่พาทย์" หมายถึงการประสมวงที่มีปี่  และเครื่องเคาะ (ตี) ร่วมด้วย สมัยสุโขทัยได้เริ่มมี "วงปี่พาทย์เครื่องห้า" ขึ้นมาก่อน โดยใช้เครื่องดนตรี 5 ชิ้น  คือ ปี่ ตะโพน ฆ้อง กลอง ฉิ่ง ต่อมาได้มีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับ จนเจริญถึงขีดสุดในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยมีการเพิ่มระนาด เข้าไปในภายหลัง วงปี่พาทย์ในปัจจุบันแบ่งออกได้ 6 แบบ ดังนี้






































              
 

       
       
          เป็นวงปี่พาทย์โบราณที่มีเครื่องดนตรีน้อยที่สุด  เป็นวงดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงโนราห์ และหนังตะลุง  เครื่องดนตรีที่ใช้ในวงดนตรีประเภทนี้ ได้แก่
  
     ปี่นอก
     ฆ้องคู่ 
     โทน 1คู่ 
     กลองชาตรี 1 คู่
     กรับ 
     ฉิ่ง
 
วงปี่พาทย์ไม้แข็ง
วงปี่พาทย์สามัญสำหรับประกอบการแสดงโขน ละคร ลิเก และบรรเลงในงานมงคลที่มีพิธีกรรม  พิธีการ  เช่น พิธีไหว้ครูดนตรี นาฏศิลป์  งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่  งานบวช  เป็นต้น มี 3 ขนาด คือ ปี่พาทย์เครื่องห้า ปี่พาทย์เครื่องคู่ ปี่พาทย์เครื่องใหญ่
ปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องห้า
ู่ 
ปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่
วงปี่พาทย์ชาตรี
ปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องใหญ
ปี่ใน เลา ปี่นอก เลา
ระนาดเอก1รางระนาดทุ้ม1ราง
ระนาดเอกเหล็ก1รางระนาดทุ้มเหล็ก1ราง
ฆ้องวงใหญ่ 1วงฆ้องวงเล็ก1วง
ตะโพน 1ใบฉาบ1
คู่
กลองทัด 1คู่กรับ1คู่
ฉิ่ง 1
คู่
โหม่ง1ใบ
      ปี่พาทย์ไม้นวม มีเครื่องดนตรีคล้ายคลึงกับวงปี่พาทย์ไม้แข็ง เพียงแต่เปลี่ยนจาก ไม้ที่ใช้ตีระนาดเอก เป็นไม้นวม เปลี่ยนจากปี่ เป็นขลุ่ย และเพิ่ม ซออู้เข้าไปบรรเลงด้วยเท่านั้น 
วงปี่พาทย์นางหงส์
ใช้เครื่องดนตรีเหมือนกับวงปี่พาทย์ไม้แข็งทุกอย่างนอกจาก-ใช้ ปี่ชวา แทน ปี่ใน  
-ใช้กลองมลายู 1 คู่ แทน  ตะโพนและกลองทัด
วงปี่พาทย์นางหงส์นี้ใช้บรรเลงเฉพาะในงานศพเท่านั้น
วงปี่พาทย์มอญ
ประกอบด้วยเครื่องดนตรีที่ได้รับอิทธิพลมาจากมอญ ได้แก่ ปี่มอญ  ฆ้องมอญ  ตะโพนมอญ และเปิงมางคอก เครื่องดนตรีของวงปี่พาทย์มอญนี้  ปิดทองหรือทาด้วยสีทองเกือบทุกชิ้น วงปี่พาทย์มอญคล้ายกับ วงปี่พาทย์ไม้แข็ง แต่มีข้อแตกต่างกันดังนี้
          ใช้ปี่มอญ แทนปี่ใน
          ใช้ฆ้องมอญ แทน ฆ้องวง
          ใช้ตะโพนมอญ แทน ตะโพนไทย
          และ เพิ่มเปิงมางคอกเข้า
(เปิงมางคอก ใช้เปิงมาง 7 ลูกเทียบให้มีเสียงสูง - ต่ำ ตามลำดับผูกร้อยเข้ากับคอกเปิงมาง) 
วงปี่พาทย์มอญนิยมบรรเลงในงานศพ เพราะมีทำนอง ฟังแล้วโหยหวนชวนให้เกิดความเศร้าใจ

ปี่ใน เลา
ระนาดเอก1ราง
ฆ้องวงใหญ่ 1วง
ตะโพน 1ใบ
กลองทัด 1คู่
ฉิ่ง 1คู่
ปี่ใน เลา ปี่นอก เลา
ระนาดเอก1รางระนาดทุ้ม1ราง
ฆ้องวงใหญ่ 1วงฆ้องวงเล็ก1วง
ตะโพน 1ใบฉาบ1
คู่
กลองทัด 1คู่กรับ1คู่
ฉิ่ง 1
คู่
โหม่ง1ใบ
เป็นวงปี่พาทย์ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติติวงศ์ ทรงปรับปรุงขึ้นสำหรับ บรรเลงประกอบการแสดงละครดึกดำบรรพ์  ซึ่งเป็นละครที่เลียนแบบละครโอเปร่าของชาวตะวันตก เป็นละครที่มีฉากประกอบตามเนื้อเรื่อง ตัวละครร้องเพลงเอง การที่วงปี่พาทย์ชนิดนี้ ได้ชื่อว่าปี่พาทย์ ดึกดำบรรพ์  เพราะเรียกตามอย่างชื่อละครดึกดำบรรพ์ ที่แสดง ในโรงละครดึกดำบรรพ์ของเจ้าพระยา เทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว. หลาน กุญชร)
**ปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ มีเครื่องดนตรีที่มีเสียงนุ่มนวล ปราศจากเครื่องดนตรีที่มีเสียงดังแกร่งกร้าว เล็กแหลม หรือเสียงสูงมาก ๆ
วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
วงปี่พาทย์นางหงส์เครื่องห้า
ปี่ชวา เลา
ระนาดเอก1ราง
ฆ้องวงใหญ่ 1วง
กลองมลายู1ใบ
ฉิ่ง 1คู่
โหม่ง1คู่
วงปี่พาทย์นางหงส์เครื่องคู่
ปี่ชวา เลา ฉิ่ง 1คู่
ระนาดเอก1รางระนาดทุ้ม1ราง
ฆ้องวงใหญ่ 1วงฆ้องวงเล็ก1วง
กลองมลายู 1คู่ฉาบ1
คู่
กรับ1คู่โหม่ง1ใบ
วงปี่พาทย์นางหงส์เครื่องใหญ่
ปี่ชวา เลา ฉิ่ง 1
คู่
ระนาดเอก1รางระนาดทุ้ม1ราง
ระนาดเอกเหล็ก1รางระนาดทุ้มเหล็ก1ราง
ฆ้องวงใหญ่ 1วงฆ้องวงเล็ก1วง
กลองมลายู 1คู่ฉาบ1
คู่
โหม่ง1ใบกรับ1คู่
วงปี่พาทย์มอญเครื่องห้า
ปี่มอญ เลา
ระนาดเอก1ราง
ฆ้องมอญวงใหญ่ 1วง
ตะโพนมอญ1ใบ
เปิงมางคอก1ชุด
ฉิ่ง ,ฉาบ ,กรับ
โหม่ง
  
วงปี่พาทย์มอญเครื่องคู่
ปี่มอญ เลา    
ระนาดเอก1รางระนาดทุ้ม1ราง
ฆ้องมอญวงใหญ่ 1วงฆ้องมอญวงเล็ก1วง
ตะโพนมอญ1ใบเปิงมางคอก1ชุด
ฉิ่ง ,ฉาบ ,กรับ
โหม่ง
     
วงปี่พาทย์มอญเครื่องใหญ่
ปี่มอญ เลา ฉิ่ง 1
คู่
ระนาดเอก1รางระนาดทุ้ม1ราง
ระนาดเอกเหล็ก1รางระนาดทุ้มเหล็ก1ราง
ฆ้องมอญวงใหญ่ 1วงฆ้องมอญวงเล็ก1วง
ตะโพนมอญ1ใบเปิงมางคอก1ชุด
กรับ1คู่ฉาบ1
คู่
โหม่ง1ใบ   
มีเครื่องดนตรี ดังนี้
วงเครื่องสาย
ี่ขลุ่ยเพียงออ เลา ขลุ่ยอู้1เลา
ระนาดเอก1รางระนาดทุ้ม1ราง
ฆ้องวงใหญ่ 1วงระนาดทุ้มเหล็ก1ราง
ตะโพน1ใบกลองตะโพน1ใบ
ฆ้องหุ่ย1คู่ซออู้1คัน
กลองแขก1คู่ฉิ่ง 1คู่
ฉาบ1คู่กรับ1คู่
วงเครื่องสายประกอบด้วยเครื่องดนตรีที่มีสาย ซึ่งมีเครื่องดีด และเครื่องสีเป็นหลักนำวงโดยซอด้วงแบ่งออกเป็น 
วงเครื่องสายวงเล็ก หรือ วงเครื่องสายเครื่องเดี่ยว
จะเข้ตัว
ซอด้วง1คัน
ซออู้1คัน
ขลุ่ยเพียงออ1เลา
โทน-รำมะนา
ฉิ่ง ,ฉาบ ,กรับ 
โหม่ง
วงเครื่องสายเครื่องคู่
จะเข้ตัว
ซอด้วง2คัน
ซออู้2คัน
ขลุ่ยเพียงออ1เลา
ขลุ่ยหลิบ1เลา
โทน-รำมะนา
ฉิ่ง ,ฉาบ ,กรับ 
โหม่ง
 
วงเครื่องสายผสม
ได้แก่วงเครื่องสาย ที่นำเอาเครื่องดนตรีอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมา โดยนำเอาเครื่องดนตรีพื้นเมือง  หรือของชาติอื่นเข้ามาร่วมบรรเลงด้วย   เช่น แคน,ระนาด,ขิม,ออร์แกน,เปียโน,หีบเพลงชัก,ไวโอลิน หากนำเครื่องดนตรีชนิดใดมาผสมก็เรียกวงเครื่องสายผสมนั้น เช่น วงเครื่องสายผสมขิม, วงเครื่องสายผสมออร์แกน เป็นต้น
วงมโหรี
ในสมัยอยุธยาวงมโหรีเกิดขึ้นมาจากการดัดแปลงวงขับไม้ในอดีตโดยนำพิณมาร่วมบรรเลงดัวยซึ่งเดิมมีีเครื่องดนตรีเพียง 2 ชิ้น แล้วเปลี่ยนคนขับลำนำมาเป็นคนร้อง และตีกรับพวง เปลี่ยนจากบัณเฑาะว์เป็นโทน พร้อมกับเพิ่มรำมะนา และขลุ่ยไปประสมร่วม ปัจจุบันวงมโหรีจะมีเครื่องดนตรีที่ประกอบด้วย เครื่องดีด สี ตี เป่า รวมกันเป็นการนำเอาวงปี่พาทย์ไม้นวม และวงเครื่องสายมาบรรเลงร่วมกันและเพิ่ม ซอสามสาย
ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีสำคัญในวงมโหรีเข้าด้วยกัน ส่วนเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ ซึ่งได้แก่ระนาดและฆ้องวงได้ทำการประดิษฐ์ให้มีขนาดเล็กลง เรียกว่าระนาดมโหรี และฆ้องมโหรี หรือฆ้องกลางวงมโหรีในปัจจุบันมี
 3 ขนาด
 
วงมโหรีเครื่องเล็ก หรือวงมโหรีเครื่องเดี่ยว
ซอสามสายคัน
ระนาดเอกราง
ฆ้องกลางวง
จะเข้ตัว
ซอด้วง1คัน
ซออู้1คัน
ขลุ่ยเพียงออ1เลา
โทนมโหรี1ใบ
รำมะนามโหรี1ใบ
ฉิ่ง ,ฉาบ ,กรับ ,โหม่ง
วงมโหรีเครื่องคู่
ซอสามสายคันซอสามสายหลิบคัน
ระนาดเอกรางระนาดทุ้มราง
ฆ้องกลางวงฆ้องวงเล็กวง
ซอด้วง2คันซออู้2คัน
จะเข้ตัวขลุ่ยเพียงออ1เลา
ขลุ่ยหลิบ1เลาโทนมโหรี1ใบ
รำมะนามโหรี1ใบฉิ่ง ,ฉาบ ,กรับ ,โหม่ง  


วงมโหรีเครื่องใหญ่
ซอสามสายคันซอสามสายหลิบคัน
ระนาดเอกรางระนาดทุ้มราง
ระนาดเอกเหล็กรางระนาดทุ้มเหล็กราง
ฆ้องกลางวงฆ้องวงเล็กวง
ซอด้วง2คันซออู้2คัน
จะเข้ตัวขลุ่ยเพียงออ1เลา
ขลุ่ยหลิบ1เลาโทน-รำมะนามโหรี1คู่
ขลุ่ยอู้1เลาฉิ่ง ,ฉาบ ,กรับ ,โหม่ง